วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เนื้อเยื่อถาวร (Permanent Tissues) 2

เนื้อเยื่อถาวร (Permanent Tissues)
      หมายถึง เนื้อเยื่อที่ไม่มีความสามารถในการแบ่งตัว มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด เพื่อไปทำหน้าที่เฉพาะอย่าง (specialize cells) ถ้าเนื้อเยื่อประกอบด้วยกลุ่มเซลล์เพียงชนิดเดียว จะเรียกว่า Simple permanent tissues เช่น epidermis, parenchyma, collenchyma และ sclerenchyma ถ้าเนื้อเยื่อประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิด จะเรียกว่า Complex permanent tissues ได้แก่ xylem และ phloem

เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว(Simple permanent tissues)
Parenchyma
      เป็นเนื้อเยื่อพื้นที่พบมากที่สุดในพืช ตามส่วนต่างๆ โดยเฉพาะส่วนที่อ่อนนุ่ม เช่น บริเวณคอร์เทก พิธ เนื้อผลไม้ พาเรนไคมาเป็นเซลล์ที่มีชีวิต ขนาดค่อนข้างใหญ่ มีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปกลม รี ทรงกระบอก หรือรูปร่างไม่แน่นอน ภายในเซลล์อาจพบหรือไม่พบนิว เคลียส ผนังเซลล์บางเป็นผนังเซลล์ชั้นแรก (primary wall) มักพบ central vacuoles ขนาดใหญ่ และมี intercellular spaces


หน้าที่
สังเคราะห์ด้วยแสง เนื่องจากมี chloroplast ภายในเซลล์ เรียกพาเรนไคมาชนิดนี้ว่า chlorenchyma เช่น palisade และ spongy mesophyll ซึ่งพบในใบพืช เซลล์ที่เป็นส่วนประกอบของชั้นคอร์เทกของลำต้น เซลล์สาหร่ายหางกระรอก
สะสมอาหาร ได้แก่เซลล์ที่เป็นส่วนประกอบของลำต้นใต้ดิน รากสะสมอาหาร หรือพาเรนไคมาในบริเวณคอร์เทกหรือพิธ โดยภายในจะบรรจุแป้ง โปรตีน น้ำมัน หรือน้ำตาลไว้ เรียกเซลล์เหล่านี้ว่า reserved parenchyma หรือ storage parenchyma
เกิด gaseous exchange และช่วยให้พืชลอยตัวบนน้ำได้ ได้แก่พาเรนไคมาที่มี intercellular air spaces มาก เรียก aerenchyma

Collenchyma

รูปร่างรี ยาว เซลล์มีผนังหนาไม่สม่ำเสมอ จัดเป็นผนังเซลล์ชั้นแรก เป็นเนื้อเยื่อที่สร้างความแข็งแรงให้กับพืช เมื่อมีการเจริญเติบโตเต็มที่ก็ยังเป็นเนื้อเยื่อที่มีชีวิต พบโดยทั่วไปในส่วนของพืช เช่น stems petioles (stalk) laminae roots เมื่อ cross-section ส่วนของลำต้น มักพบ collenchyma อยู่ติดกับ epidermis หรือถูกขั้นด้วย parenchyma 2-5 แถว นอกจากนี้ยังพบบริเวณเส้นใบ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อลำเลียง พบบริเวณมุมหรือเหลี่ยมของลำต้น ผนังเซลล์หนาทำหน้าไม่พบ Intercellular air spaces หรือพบน้อยมาก ส่วนประกอบภายในเซลล์อาจพบ nucleus chloroplasts บ้างแต่พบน้อยมาก เนื่องจากมีผนังเซลล์ที่หนา Collenchyma เชื่อว่า Collenchyma มีต้นกำเนิดมาจาก parenchyma จากนั้น differentiate โดยผนังเซลล์จะ เสริมให้มีความแข็งแรงมากขึ้นโดยการสะสมของ cellulose และ pectin


หน้าที่
เพิ่มความแข็งแรงให้ส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ส่วนก้านใบ ส่วนลำต้น ผนังเซลล์ประกอบ
ด้วยเซลลูโลส เพคติน (มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี) และสารอื่นๆ แต่ไม่มีลิกนิน
Sclerenchyma

เมื่อเจริญเต็มที่จะไม่มีชีวิต มีผนังเซลล์ที่หนามาก คำว่า "sclerenchyma" มาจากภาษา Greek คือ "scleros" แปลว่า "hard" ซึ่งความแข็งแรงที่ว่ามาจากผนังเซลล์ที่หนานั่นเอง
ลักษณะเด่นของเซลล์นี้คือ ผนังเซลล์ขั้นที่สอง (secondary wall) หนา ประกอบด้วย cellulose และ/หรือ lignin โปรโตพลาสต์มักสลายไปหลังจากผนังเซลล์เจริญเต็มที่ เหลือเป็นช่องว่างภายในเซลล์ เรียกว่า Lumen Sclerenchyma cells มักพบปะปนกับเซลล์ชนิดอื่นเพื่อทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงแก่โครงสร้างต่างๆ Sclerenchyma มักพบตามลำต้น และในใบพบในส่วนของมัดท่อน้ำท่ออาหาร Sclerenchyma สร้างความแข็งแรงให้กับเมล็ดโดยเฉพาะส่วนของเปลือกหุ้มเมล็ด จัดเป็นเนื้อเยื่อสำคัญที่สร้างความแข็งแรงให้กับพืช
Sclerenchyma สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด โดยใช้ลักษณะรูปร่างที่แตกต่างกันดังนี้

Fibres

ลักษณะเซลล์ยาว ปลายเซลล์เรียว ผนังเซลล์หนามาก พบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรือเป็นมัด เช่น ในเนื้อไม้ (xylem fibres) ในท่อลำเลียงอาหาร (phloem fibres) ส่วนประกอบของท่อลำเลียงบริเวณใบ (vein) หรือเป็นเนื้อเยื่อที่ให้ความแข็งแรงในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมาก เพราะมีชั้นของ fibre หนา มีความเหนียวมาก ให้ทำเชือกและสิ่งทออื่นๆ เช่น ป่านลินิน (flax: Linum usitatissimum) ใยกัญชา (hemp: Canabis sativa) ป่านรามี (ramie: Boehmeria nivea)


Fiber มักพบอยู่รวมกันเป็นกระจุกๆ อาจพบใน
  • ชั้น cortex เรียก cortical fiber
  • ใน xylem เรียก xylem fiber
  • ใน phloem เรียก phloem fiber
Sclereids (Stone cells)

ที่เรียก stone เนื่องจากเซลล์มีความแข็งแรงเหมือนหิน มีรูปร่างหลายแบบ เช่น ลักษณะอ้วน ป้อม isodiametric, forked ลักษณะคล้ายดาว หรือ แตกแขนงหลายแบบ ถ้าเปรียบเทียบกับ fibres sclereids มักจะสั้นกว่า ป้อมกว่า อาจพบอยู่รวมกลุ่มกันเป็นมัด หรือ พบเซลล์เดี่ยวๆ หรือรวมเป็นกลุ่มเล็กๆ ภายใน parenchyma tissues ตัวอย่างเช่น stone ของลูกแพร์ (pears: Pyrus communis) และสาลี่ stone cell ที่มักถูกนำมาเป็นตัวอย่างศึกษาคือ stone cell ที่เป็นส่วนประกอบของกะลามะพร้าว เปลือกถั่ว เปลือกหุ้มเมล็ดของผลไม้บางชนิด
เช่น พุทรา เซลล์มักประกอบด้วยส่วนของผนังเซลล์ทั้งหมด ผนังเซลล์มักพบ pits ที่แตกแขนง มองเห็นได้ชัดเจน เรียกว่า ramiform pits

Epidermis
มาจากภาษากรีก epi หมายถึง upon ข้างบน และ derma หมายถึง skin ผิว เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของส่วนต่างๆ ของพืช ประกอบด้วยเซลล์เรียงตัวเพียงชั้นเดียว มักไม่พบ intercellular spaces รูปร่างแบนยาว ผนังเซลล์บาง โดยส่วนใหญ่ผนังเซลล์ด้านนอกจะหนากว่าด้านใน และพบมีสารคิวตินซึ่งเป็นสารพวกไขมันเคลือบอยู่ชั้นนอก ยกเว้นในรากจะมี suberin เคลือบ พืชที่ขึ้นอยู่ในที่แห้งแล้งมักมีคิวตินเคลือบหนา เพื่อรักษาน้ำที่อยู่ภายใน โดยทั่วไปอิพิเดอร์มิสไม่มี chloroplast ยกเว้น guard cells อิพิเดอร์มิสของลำต้นพืชที่มีสี เช่น ชบา ฤาษีผสม จะมีรงควัตถุพวก anthocyanin อยู่ภายใน พืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะมีอิพิเดอร์มิสที่เปลี่ยนแปลงไปรูปร่างคล้ายถุงเรียงกัน เรียก bulliform cells ช่วยในการคลี่หรือแผ่ขยายของใบ พืชบางชนิด เช่น กล้วยไม้ มีอิพิเดอร์มิสหลายชั้น เรียกว่า velamen อิพิเดอร์มิสที่พบในรากบางเซลล์จะเปลี่ยนแปลงไปเป็น root hair เพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ในการดูดน้ำและแร่ธาตุจากดิน บริเวณลำต้น กิ่ง ใบ ก็สามารถพบ hair หรือ trichome ได้เช่นกัน


Guard cells เป็น epidermal cells ที่เปลี่ยนแปลงไปมีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว 2 เซลล์ประกบกัน ภายในมี chloroplasts สังเคราะห์แสงได้ เมื่อ guard cells
เต่งเกิดช่อง (pore) เรียกโครงสร้างทั้งหมดว่า Stoma ซึ่งจะเป็นส่วนที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนก๊าซ และการคายน้ำของพืช พืชส่วนใหญ่จะพบ stoma
บริเวณท้องใบ (lower epidermis) มากกว่าหลังใบ ส่วนในพืชน้ำมักพบด้านหลังใบมากกว่าท้องใบ นอกจากนี้บริเวณรอบๆ stoma จะมี epidermal cells ที่มีรูปร่างแตกต่างจากอิพิเดอร์มิสปกติ ซึ่งเรียกเซลล์นี้ว่า subsidiary cells พบอยู่รอบๆ stomata เสมอ


Bulliformcells เรียกอีกอย่างว่า moter cel l เป็นเซลล์ขนาดใหญ่ ผนังเซลล์บาง รูปร่างคล้ายถุง พบอยู่ด้านหลังใบ (upper epidermis) อยู่ตลอดความยาวของใบพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ซึ่งมักพบประมาณ 3-4 เซลล์ต่อกลุ่ม ภายในบรรจุน้ำทำให้เซลล์เต่ง ใบพืชแผ่ขยายออก แต่ถ้า bulliform cells สูญเสียน้ำ เซลล์จะลีบลงเป็นผลทำให้ใบพืชม้วนงอ หรือเหี่ยว
เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน (Complex permanent tissues)คือ เนื้อเยื่อที่ประกอบด้วยเซลล์หลายๆ ชนิดมาทำหน้าที่ร่วมกัน ได้แก่ Xylem และ Phloem
                                     Xylem 
                                     Phloem
Xylem จัดเป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่หลักในการลำเลียงน้ำ (water-conducting tissue) ใน vascular plants ประกอบด้วย tracheary elements ได้แก่ Vessel member และ Tracheid นอกจากนั้นยังมี xylem fibres และ xylem parenchyma เพื่อทำหน้าที่ในการลำเลียงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เซลล์ที่ประกอบเป็น xylem มี secondary cell walls ซึ่งมักไม่มี protoplasts ในช่วงที่เซลล์ maturity และมักพบ Bordered pits เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการาลำเลียง ส่วน vessels ลำเลียงน้ำผ่าน perforated ผ่านทาง end walls
Xylem ประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิดคือ
Vessel member
Tracheid
Xylem parenchyma
xylem fiber
Phloem มาจากภาษกรีก phloios หมายถึง เปลือกไม้ (bark) ทำหน้าที่ลำเลียงสารอินทรีย์ เช่น sucrose ไปยังส่วนต่างๆ ของพืช ทุกส่วนซึ่งแตกต่างจากการลำเลียงน้ำที่ลำเลียงจากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ประกอบ sieve element, companion cell, phloem fibres
และ phloem parenchyma
Phloem ประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิดคือ

sieve tube member
Companion cells
Phloem fibres
Phloem parenchyma
 

เนื้อเยื่อถาวร ( permanent tissue )

 เนื้อเยื่อถาวร ( permanent tissue )  เป็นเนื้อเยื่อซึ่งเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว  ประกอบด้วนกลุ่มเซลล์ที่
เปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อเจริญ  มีรูปร่างคงที่  ไม่มีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้นอีก และมีหน้าที่เฉพาะอย่าง  แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
         1.  เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว ( simple permanent tissue ) ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกัน
ทำหน้าที่อย่างเดียวกัน แบ่งได้หลายชนิดตามหน้าที่และส่วนประกอบภายในเซลล์  ได้แก่
             1.1  epidermis  เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่รอบนอกสุดของส่วนต่างๆของพืช มักจะมีเพียงชั้นเดียว ประกอบด้วยเซลล์ที่มี
รูปร่างแบน แวคิวโอลใหญ่ เซลล์แต่ละเซลล์เรียงตัวกันแน่นไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์  ผนังเซลล์ด้านนอกมักหนากว่าด้านในและมีสาร
คิวทิน ( cutin )มาเคลือบ
             1.2  parenchyma  เป็นเนื้อเยื่อที่พบทั่วๆไปในพืช เซลล์มีรูปร่างหลายแบบ เช่น ค่อนข้างกลม  รี  หรือทรงกระบอก
เมื่อเรียงตัวติดกันทำให้เกิด  ช่องว่างระหว่างเซลล์ ( intercellular  space ) ผนังเซลล์บาง แวคิวโอลใหญ่
เกือบเต็มเซลล์  และเซลล์ของเนื้อเยื่อชนิดนี้บางชนิดจะมีคลอโรพลาสต์อยู่ด้วยเรียกparenchymaชนิดนี้ว่าchlorenchyma
            1.3  collenchyma  เป็นเนื้อเยื่อที่มีกลุ่มเซลล์คล้ายพาเรงไคมา แต่มีผนังเซลล์ค่อนข้างจะหนาไม่เท่ากัน ส่วนที่หนามัก
จะอยู่ตามมุมเซลล์  พบมากตามก้านใบ เส้นกลางใบ และในชั้น cortex ของลำต้นพวกไม้ล้มลุก มีหน้าที่ช่วยให้ส่วนของพืชแข็งแรง
ทรงตัวอยู่ได้
            1.4  sclerenchyma เป็นเนื้อเยื่อที่ช่วยพยุงและให้ความแข็งแรงแก่ลำต้น มีผนังเซลล์หนามาก มีสารพวก lignin
ประกอบอยู่ด้วย  แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ fiber และ  sclereid
                    fiber  เป็นเซลล์ที่มีลักษณะเรียวและยาวมาก  ผนังเซลล์หนามากเพราะมีลิกนินและเซลลูโลส พบอยู่ตามชั้นต่างๆของ
ส่วนภายในพืช เช่นใน cortex ใน xylem และ phloem  เนื่องจาก fiber มีผนังหนาและเหนียว จึงมีหน้าที่ให้ความแข็งแรงแก่พืช
fiber มีประโยชน์มากโดยนำไปทำเชือก กระดาษ  เสื่อ ทอเป็นเสื้อผ้าและกระสอบ เป็นต้น
                    sclereid  คล้ายfiberแต่เซลล์ไม่ยาวมาก  มักอยู่ตามส่วนที่แข็งๆของเปลือกต้นไม้และเปลือกหุ้มเมล็ด หรือ เนื้อ
ผลไม้ที่สากๆ
            1.5  endodermis  เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านนอกของเนื้อเยื่อลำเลียงของราก เซลล์มีรูปร่างคล้ายเซลล์พาเรงไคมา  ที่ผนัง
เซลล์มีสารลิกนิน และซูเบอรินมาพอกหนา เซลล์เรียงตัวกันแน่นทำให้ไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์
            1.6  cork  เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของลำต้นและรากของพืชที่มีเนื้อไม้ที่มีอายุมากๆ รูปร่างของเซลล์ทางหน้าตัดจะมีรูปร่าง
เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าซึ่งเบียดกันแน่น เซลล์ของ cork เกิดขึ้นได้ไม่นานก็จะตาย  แต่ก่อนที่จะตายโปรโตพลาสซึมจะสร้าง suberin
,มาพอกบนผนังเซลล์  suberin เป็นสารขี้ผึ้งสีน้ำตาล ดังนั้น เปลือกไม้ที่เราเห็นจึงเป็นสีน้ำตาล  เนื่องจาก suberin เป็นสารขี้ผึ้ง
จึงมีหน้าที่ป้องกันการระเหยของน้ำจากภายในพืช
        2.  เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน ( complex permanent tisue ) ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิดมาอยู่
รวมกันและทำงานร่วมกัน ได้แก่ เนื้อเยื่อลำเลียง ( vascular tissue ) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ xylem และ phloem
              2.1  xylem  เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการลำเลียงน้ำและแร่ธาตุต่างๆจากรากขึ้นสู่ส่วนต่างๆของพืช  การลำเลียง
แบบนี้เรียก  conduction  ดังนั้นเนื้อเยื่อกลุ่มนี้อาจเรียกว่า conductive tissue ในพืชมีดอก xylem ประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิด
คือ tracheid , vessel  ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ ส่วน xylem parenchyma และ xylem fiber ทำหน้าที่ค้ำจุนให้ความ
แข็งแรงและช่วยเหลือการทำงานของเซลล์ลำเลียง
                  2.1.1  tracheid  เป็นเซลล์รูปร่างยาวๆปลายทั้งสองข้างแหลม  ที่ผนังเซลล์มีการสะสมลิกนินหนาไม่สม่ำเสมอ เมื่อเจริญ
เติบโตเต็มที่เซลล์จะตายโพรโตพลาสซึมจะสลายตัว ทำให้เกิดเป็นช่องตรงกลางเซลล์เรียก  lumen  เทรคีตนอกจากจะทำหน้าที่ใน
การลำเลียงน้ำและแร่ธาตุแล้วยังทำหน้าที่ค้ำจุนส่วนต่างๆของพืชอีกด้วย พบมากในพืชที่มีท่อลำเลียงชั้นต่ำ เช่น หวายทะนอย
ช้องนางคลี่ หญ้าถอดปล้อง เฟิร์น สน และปรง ส่วนในพืชมีดอกก็พบบ้าง
                  2.1.2  vessel  เป็นเซลล์ที่คล้ายเทรคีต คือ มีชีวิตเมื่อยังอายุน้อยและเมื่อเติบโตเต็มที่ก็ตาย โพรโตพลาสซึมที่อยู่ตรง
กลางเซลล์จะสลายไป จึงมีช่องว่างตรงกลางเซลล์ใหญ่ผนังเซลล์มีลิกนินมาพอก  เซลล์ของ vessel มีรูปร่างยาวแต่สั้นกว่า tracheid
และมีหลายเซลล์มาต่อกันจนมีลัษณะคล้ายท่อน้ำ ผนังปลายสุดมีช่องเปิดทะลุถึงกันเรียก  performation  เป็นทางลำเลียงน้ำและแร่
ธาตุ  vessel ทำหน้าที่เฉพาะในการลำเลียงน้ำและแร่ธาตุเท่านั้น พบทั่งไปในพืชมีดอก ยกเว้น ยี่หุบ แคกตัส กาฝาก และพันธุ์ไม้น้ำ
บางชนิด
                2.1.3  xylem parenchyma  เป็นเซลล์ที่มีชีวิต มีลักษณะและรูปร่างคล้าย parenhyma ทั่วๆไป เมื่ออายุมากขึ้น
ผนังเซลล์จะหนาเนื่องจากมีลิกนินมาสะสม ทำหน้าที่สะสมพวกแป้ง น้ำมัน ผลึกสารต่างๆ
                2.1.4  xylem fiber  เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างยาวแบบ fiber  ผนังหนาปลายเสี้ยม อาจมีผนังกั้นเป็นห้องๆทำหน้าที่ช่วยให้
ความแข็งแรงแก่พืช
            2.2  phloem  เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงอาหารพวกอินทรีย์สาร ซึ่งได้มาจากกระบวนการสังเคราะห์แสงในใบ
และส่วนของพืชที่มีคลอโรฟิลล์ไปส่วนต่างๆของพืช  การลำเลียงอาหารของพืชแบบนี้เรียก  translocation  phloem ประกอบ
ด้วยกลุ่มเซลล์ 4 ชนิด
                2.2.1  seive tube member  เป็นเซลล์เดี่ยวๆรูปทรงกระบอกยาว ปลายเสี้ยม เมื่อเจริญเต็มที่แล้วจะไม่มีนิวเคลียสแต่
เซลล์ยังคงมีชีวิตอยู่  ปลายเซลล์ทั้ง 2 ข้างบางและมักจะเอียงมีรูพรุนเรียก  seive plate  ซึ่งทำให้ไซโทพลาสซึมภายในติดต่อกันได้
เซลล์แต่ละเซลล์จะมาเรียงต่อกันเป็นท่อยาวทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงอาหารเรียก  seive tube
                 2.2.2  companion cell  อยู่ติดกับ seive tube cell  เสมอ เป็นเซลล์ที่มีความยาวเท่าๆกับ seive tube cell แต่
มีขนาดเล็กกว่า เมื่อเจริญเต็มที่แล้วยังคงมีนิวเคลียสอยู่  ผนังเซลล์ของ companion cell และ seive tube ที่ติดกันนี้จะมีรูเล็กๆ
มากทำให้เซลล์ทั้ง  2  ชนิดติดต่อกันได้  คอมพาเนียนเซลล์ทำหน้าที่คอยช่วยเหลือในกรทำงานของซีพทิวโดยเฉพาะเมื่อซีพทิวมีอายุ
มากขึ้น
                 2.2.3  phloem parenchyma  เป็นเซลล์ที่มีลักษณะเหมือน parenchyma ทั่วๆไป มีหน้าที่สะสมอาหาร ดังนั้น
จึงอาจะพบผลึก tanninและเม็ดแป้งภายในเซลล์นี้ก็ได้ มักมีในพืชใบเลี้ยงคู่
                 2.2.4  phloem fiber  เป็นเซลล์ที่มีลักษณะคล้าย fiber ที่พบทั่วไป มีหน้าที่ช่วยทำให้ phloem แข็งแรงยิ่งขึ้น



     parenchyma
                  tracheid



วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

นม หรือน้ำนม

นม

นม หรือ น้ำนม หมายถึงของเหลวสีขาวที่ประกอบด้วยสารอาหารที่ออกมาจากเต้านมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นมจะประกอบไปด้วยสารอาหารหลักที่จำเป็นสำหรับเด็กหรือสัตว์เกิดใหม่ ซึ่งนมสามารถนำไปสร้างผลิตภัณฑ์อื่นได้แก่ ครีม เนย โยเกิร์ต ไอศกรีม ชีส นอกจากนี้นมยังสามารถหมายถึงเครื่องดื่มอื่นที่นำมาใช้ทดแทนนม เช่นนมถั่วเหลือง นมข้าว นมข้าวโพด นมแอลมอนด์
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ให้นม อาทิเช่น มนุษย์ วัว ควาย แกะ แพะ ม้า ลา อูฐ จามรี ลามา เรนเดียร์ ฯลฯ โดยนมจากม้าและลาเป็นนมที่มีไขมันต่ำ ในขณะที่นมจากแมวน้ำจะมีไขมันสูงถึง 50% นอกจากนี้ในประเทศรัสเซียและประเทศสวีเดน มีการกินนมมูส
มีบางคนที่ไม่มีน้ำย่อยแล๊คเตส จะไม่สามารถดื่มนมวัวได้ ก็จะหันมาดื่มนมสัตว์ชนิดอื่นแทน เช่น นมแพะ


ประโยชน์
การดื่มนม ช่วยเสริมสร้างแคลเซียม ป้องกันโรคกระดูกพรุน และนมรับแสงแดดจะเพิ่มวิตามินดีอีกด้วย